วัดนาคาราม
เลขที่ 65/2 ม. 4 ถนน วิรัชหงษ์หยก   ตำบลวิชิต  อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต 83000
เบอร์โทรศัพท์ 0806925649
นิทานธรรม
งูฉกเลื่อย


งูฉก เลื่อยเ รื่องเล่าเตือนสติได้ข้อคิดดีๆ อยากให้ทุกคนได้อ่านกัน

จากเรื่องราวได้ อ่านเจอบทความในหนังสือหนึ่ง ก็เลยได้หยิบมาเพื่อให้ได้อ่านกันครับ    เกี่ยวกับเรื่องของ งู

งูตัวหนึ่ง เลื้อยเข้าไปในโรงไม้ มันไถลเลื้อยข้ามจนไป โดนเลื่อยใบหนึ่งเข้าอย่างจัง คมของใบเลื่อย บ า ดลำตัวมัน ทำมัน เจ็บ ปวดมาก!    งูมันเลยหันหัว แว้งฉก กัด เลื่อย    แต่ผลกลับทำให้ปากมันมี แ ผ ล เหวอะหวะ โดยไม่ได้ยั้งคิด….  งูมันเข้าใจว่า มันกำลังถูกจู่โจม โดยเลื่อย มันจึงตัดสินใจ เลื้อยโอบรอบตัวเลื่อย   แล้วจัดการรัดเจ้าเลื่อยอย่างเต็มกำลัง แต่สิ่งที่ได้คือ มันกลับถูกเลื่อย ฆ่า มัน

และสุดท้ายมันเองที่ ตายในที่สุด  อย่าคิดว่าตัวเองแน่ แล้วใช้อารมณ์

เพราะบางปัญหา อารมณ์ไม่สามารถ แก้ปัญหาได้   บางทีอาจจะคิดว่าการบาด   เจ็บ เกิดจากคนอื่น แต่จริงๆ ปัญหาทั้งหมด   อาจจะเกิดจากจุดอ่อนของตัวเราเอง

ซึ่งในเรื่องนี้ มีข้อคิดบางอย่างคือ ในบางครั้ง เราตอบโต้ความ โกรธ ด้วยการคิดทำ ร้าย คนๆนั้น แต่เราไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าในที่สุดแล้ว เราอาจเป็นฝ่ายกำลัง       ทำร้า ยตัวเองอยู่    ในชีวิตจริง….    บางทีมันจะดีกว่า   ถ้าเราไม่สนใจต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ไม่สนใจคนพวกนั้น  ไม่สนใจพฤติกรรมเหล่านั้น แม้แต่คำพูดของพวกเขา   ในบางครั้ง มันจะดีซะกว่า หากเราไม่โต้ตอบ เพราะมันอาจจะไม่ใช่แค่

ได้ผลลัพท์ที่เลวร้าย แต่อาจเป็นภัยที่ ร้ายแรงขั้นถึงเสียชีวิตกันเลยที่เดียว

อย่าปล่อยให้ความโกรธ ครอบงำชีวิตคุณ   แต่กลับเป็นความรัก ที่อยู่เหนือทุกสิ่ง

จงยิ้มเข้าไว้ แผ่ความสุข แผ่กระจายความสุขในตัวคุณออกไป

นี่คือกฎของธรรมชาติ     อาหารที่เรากิน จะถูกย่อยและถูกขับออกไปภายใน 24 ช.ม. ไม่เช่นนั้น เราจะป่วย     น้ำที่เรากิน เข้าสู่ภายใน ร่างกาย และจะถูกขับออกมา ในอีก 4 ช.ม. ไม่เช่นนั้น เราจะไม่สบาย         อากาศที่เราหายใจเข้าไป จะถูกดันออกมา ในเวลาแค่ 1 นาที ไม่เช่นนั้น เราก็จะตาย    แล้วนับประสาอะไรกับอารมณ์ที่ไม่น่าพิศมัยต่างๆ       เช่น ความโ กรธ ความอาฆาตพยาบาท

ความ อิจฉา ริษยา ความหวั่นไหวในจิตใจทั้งหลาย.     แต่เรากลับเก็บสิ่งพวกนี้ไว้กับเรา เป็นแรมเดือนแรมปี     หากอารมณ์แย่ๆ ทั้งหลายยังไม่ถูกกำจัดออกไปจากใจเรา       มันก็จะกัดกร่อนจิตใจส่วนดี และทำให้ ร่างกายนี้ เจ็บป่วยตามไปด้วยการมีสติ กลับมารู้สึกตัว ถือเป็นวิธีที่ไว และให้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด ในการชนะอารมณ์ลบๆ ในจิตใจของเราเอง

เรื่องช่วยแมงป่อง

หลวงพี่รูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ริมน้ำ ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำก็ลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกอยู่ในน้ำ. ท่านก็ใช้มือช้อนมันขึ้นมา ขณะเดียวกันแมงป่องก็ชูหางขึ้นแล้วต่อยไปที่มือท่าน ท่านปล่อยแมงป่องลงที่ฝั่ง แล้วหลับตาทำสมาธิต่อ.

ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก ท่านลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกลงไปในน้ำอีก ก็เอามือช้อนมันขึ้นมาอีก

แน่นอนแมงป่องก็ต่อยไปที่มือท่านอีก ท่านก็หลับตาทำสมาธิต่อ

ผ่านไปสักครู่ เหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก

หลวงตาที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น "ท่านไม่รู้หรือว่าแมงป่องมันต่อยคน?"

หลวงพี่ตอบว่า "รู้โดนมันต่อยสามครั้งแล้ว"

หลวงตาพูดว่า "แล้วท่านทำไมยังจะช่วยมันอีก"

หลวงพี่ตอบว่า "การต่อยคนเป็นสัญชาตญาณของมัน.

แต่ความเมตตาเป็นสัญชาตญาณของเรา.

สัญชาตญาณของมันไม่สามารถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา"

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก แมงป่องตัวเดิมนั่นแหละ

หลวงพี่ไม่รีรอ เตรียมที่จะนำมือที่บวมเป่ง ยื่นไปช่วยมัน

ขณะเดียวกัน หลวงตาก็ยื่นกิ่งไม้ให้กับหลวงพี่. ท่านก็นำกิ่งไม้ช้อนแมงป่องขึ้นมา

หลวงตายิ้มและพูดว่า

"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อมีความเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องมีความเมตตาต่อตัวเองด้วย ฉะนั้นความเมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา ต้องดูแลตัวเองให้ดี ถึงจะมีสิทธิไปช่วยผู้อื่น"

เรื่องนี้ทำให้ได้คิดถึงประโยคหนึ่งที่ผู้คนชอบพูดกันในปัจจุบันนี้ว่า "เดี๋ยวนี้จะทำตัวเป็นคนดีนั้นยาก"

ใช่แล้ว สัญชาตญาณของคนดีคือทำความดี. แต่ผู้ถูกช่วยอาจจะไม่ใช่คนดี และผลของการช่วยคนก็อาจจะไม่เกิดผลที่ดี. แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

เหมือนกับที่หลวงตาพูดไว้ "เมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา". "ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย"

ความเป็นจริงเตือนเราว่า ต้องรู้จักรับผิดชอบต่อตัวเองก่อน ถึงจะสามารถรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง. คนที่ไม่สามารถรับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วจะไปรับผิดชอบต่อผู้อื่น จะเป็นไปได้ไหม? ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ไปดูแลผู้อื่น

และประโยคนี้ก็ชอบมาก

"สัญชาตญาณของแมงป่องนั้นต่อยคน แต่สัญชาตญาณของเราคือความเมตตา สัญชาตญาณของมันจะไม่สามรถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา"

"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย และต้องมีวิธีการของความเมตตาด้วย"จะไม่ให้ความเลวของผู้อื่นมามีอิทธิพลกับความดีของเรา

จะไม่ยอมให้การกระทำและวาจาของผู้อื่นมามีผลต่อจิตใจและการกระทำของเรา

ผู้ที่มีปัญญาสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้.

แต่ผู้โง่เขลาเบาปัญญานั้น อารมณ์ของตนจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและวาจาของผู้อื่น

"จงอย่าทอดททิ้งความดีของเราเพราะความเลวของผู้อื่น"